ธันวาคม 20, 201816/01/20190 9 วิธีหนีโรคสมองเสื่อมที่มา : โลกวันนี้วันสุข โดย นพ.อุดม เพชรสังหารหลายคนคิดว่าโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม หรือแม้แต่โรคอัลไซเมอร์นั้น เป็นโรคของคนแก่ และมันจะเล่นงานเราก็ต่อเมื่อเราแก่แล้วเท่านั้น อย่างโรคอัลไซเมอร์ หมอจะวินิจฉัยโรคนี้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมีอายุ 65 ปีขึ้นไปแล้ว ทำให้คนที่อายุยังไม่ถึง 65 ปี ไม่ค่อยใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองเพื่อป้องกันโรคดังกล่าวกันเท่าไรการเกิดขึ้นของโรคนี้ไม่ ใช่ปุบปับพอมีอายุแล้วถึงเกิดขึ้นนะครับ ความจริงก็คือ ใครก็ตามที่ป่วยด้วยโรคนี้ โรคมันเริ่มมาตั้งแต่ตอนเขาอายุ 30 หรือ 40 ปีโน่นแหละ แต่ด้วยกำลังสำรองของสมองยังมีเยอะจึงชดเชยความผิดปรกติที่เกิดขึ้นได้หมด เราเลยไม่เห็นอาการของโรค แต่พออายุย่างเข้า 60 ปีหรือกว่านั้น กำลังสำรองของสมองเริ่มร่อยหรอและเสื่อมลง อาการของโรคจึงชัดเจนขึ้นด้วยเหตุนี้การป้องกันถ้าจะมาเริ่มตอนอายุ 60 ปีหรือกว่านั้น มันไม่ทันการณ์แล้วล่ะแม้จะยังไม่รู้ชัดๆว่าโรคนี้เกิดจากอะไร แต่เราก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้โรคเหล่านี้เลวร้ายยิ่งขึ้น ดังนั้น ถ้าเราจัดการกับสาเหตุที่ว่านี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆจะป้องกันไม่ให้โรคลุกลามได้ไว และไม่แน่อาจจะป้องกันไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ วงการแพทย์เราก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นแดเนียล อาเมน จิต แพทย์ประจำอาเมนคลินิก สหรัฐอเมริกา ได้เสนอวิธีปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดขึ้นของโรคสมองเสื่อมเอาไว้ โดยอาศัยข้อมูลจากสาเหตุต่างๆที่ทำให้สมองของเราทำงานผิดปรกติ เขาเชื่อว่าหากเรามีวิธีป้องกันสาเหตุเหล่านี้ โอกาสที่โรคสมองเสื่อมจะเกิดกับเราก็คงยาก ที่สำคัญก็คือ เราต้องเริ่มทำตั้งแต่ตอนที่ยังหนุ่มๆ สาวๆ อย่าไปรอทำตอนแก่แล้ว เพราะเมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างอาจจะสายไป ลองทำตามแดเนียล อาเมน ดูครับ1. ดื่มน้ำให้เยอะๆ ในแต่ละวัน น้ำในปริมาณที่พอดีจะช่วยให้สมองทำงานได้ดี ภาวะขาดน้ำจะทำให้สมองเกิดความบกพร่องได้ ปริมาณน้ำที่พอดีของแต่ละคนคำนวณได้จากสูตร น้ำหนักตัวx33 = จำนวนน้ำเป็นซี.ซี. ที่เราควรจะได้รับในแต่ละวัน น้ำน้อยไปหรือเยอะไปเกิดปัญหาได้ทั้งนั้น บางคนแนะนำให้เอาขวดน้ำวางไว้ข้างๆ ตัวตลอดเวลาแล้วจิบบ่อยๆ เพื่อที่ร่างกายและสมองจะได้ไม่ขาดน้ำ แต่ต้องรู้ว่าปริมาณน้ำทั้งหมดที่ตัวเองควรจะได้ในแต่ละวันนั้นเท่าไร อย่าจิบเรื่อยเปื่อยจนน้ำเกินพอดี เพราะนี่ก็อันตรายอีกเหมือนกัน2. นอนให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชั่วโมง เวลาที่เราหลับสมองจะจัดระบบความจำของเราครับถ้าเราไม่หลับหรือหลับไม่พอ ระบบนี้ก็รวน คนที่ไม่ได้นอน 2-3 วันติดต่อกัน เขาพบว่าความสามารถของสมองในเรื่องการใช้ความคิดและการตื่นตัวจะลดลง และเมื่อทดลองทำแบบนี้กับสัตว์ทดลอง เขาพบว่าเซลล์สมองของสัตว์ทด ลองในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้ความคิดและการตื่นตัวของมันจะฝ่อไป การอดนอนหรือนอนไม่พอนี่อันตรายมากทีเดียว3. ออกกำลังกาย เรื่องนี้ชัดเจนมานานแล้วครับว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวกับการใช้ความคิด การตัดสินใจ (Pre frontal Cortex) และสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ (Hippocampus) สามารถงอกงามขึ้นมาอีกได้4. กินอาหารเช้าทุกวัน เรื่องนี้คนชอบมองข้ามกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสมองอย่างยิ่ง เพราะการไม่กินอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงในตอนสายๆ สมองต้องการระดับน้ำตาลที่สม่ำเสมอครับ การกินอาหารเช้าพวกแป้ง ผัก และผลไม้เยอะๆ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ เป็นผลดีต่อสุขภาพของสมอง แต่การกินอาหารเช้าที่มีแต่น้ำตาลประเภทกาแฟหวานๆ ถ้วยเดียวกับขนมที่หวานๆ ก็อันตรายเช่นกัน เพราะน้ำตาลในกาแฟและขนมจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูงโดยทันที จากนั้นร่างกายจะจัดการให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำกว่าปรกติภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ในที่สุดสมองก็อยู่ในสภาวะขาดน้ำตาลเช่นกัน5. งดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสมอง เหล้า บุหรี่ สารเสพติดทุกชนิดที่ทำอันตรายต่อเซลล์สมอง ต้องงดครับ6. กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินต่างๆ ให้เพียงพอ ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะพวกที่มีสีเข้มๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินที่จำเป็นอยู่เยอะ ต้องกินให้มากเข้าไว้ อนุมูลอิสระเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราเองและเป็นอันตรายต่อเซลล์สมองของเราด้วย ตอนเป็นเด็กหรือตอนหนุ่มๆ สาวๆ กลไกของร่างกายที่จัดการกับอนุมูลอิสระนี้จะทำงานได้ดี แต่พอเราอายุมากขึ้นกลไกที่ว่านี้จะอ่อนแอลง เราจึงต้องได้สารต้านอนุมูลอิสระจากภายนอกเข้าไปช่วย7. บันทึกเรื่องราวดีๆ ของตัวเองให้ได้วันละ 5 เรื่อง เรื่องราวดีๆ ที่เราได้ทำหรือได้ประสบในแต่ละวันทำให้เรามีความสุขครับ ก่อนนอนบันทึกไว้สักหน่อยจะช่วยให้เราเกิดความสุขใจ สมองจะทำงานได้ดีในภาวะที่มีความสุข และยังเป็นการออกกำลังสมองของเราอีกด้วย8 .เรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา สมองของคนเราก็เหมือนกับร่างกาย เหมือนกับกล้ามเนื้อของเรานั่นแหละ พอไม่ได้ใช้งานนาน ๆก็ฝ่อ ก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไป แต่พอฟิตมันก็ปึ๋งปั๋งขึ้นมาได้ สมองคนเรา ยิ่งใช้ก็ยิ่งแข็งแรงยิ่งแหลมคม การเรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะโดยการอ่านหนังสือ การเล่นเกมปริศนา เกมหมากรุก หรือแม้แต่การเล่นดนตรี จะทำให้สมองได้ออกกำลัง ได้ใช้งานอยู่ตลอด เมื่อนั้นโอกาสที่โรคสมองจะถามหาก็มีน้อยลง ถ้าไม่ใช้สมองเลยทุกอย่างอาศัยเครื่องทุ่นแรงหมด ประเภท 27-9 ยังต้องอาศัยเครื่องคิดเลข แบบนี้อนาคตน่าเป็นห่วง9. ฝึกวิธีการลดความเครียด ให้กับตัวเองให้ชำนาญไว้ เมื่อเครียดขึ้นมาก็ใช้วิธีการที่ว่านี้จัดการกับความเครียดของตัวเองซะ อย่าปล่อยให้มันมีโอกาสมาเล่นงานเราได้เด็ดขาดเรื่องความเครียดนี่น่ากลัวมาก เพราะมีผลต่อสมองโดยตรง คนที่เครียดนานๆ สมองส่วนที่เกี่ยวกับความจำจะเสียหายได้มาก แถมยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพในเรื่องอื่นๆ อีกด้วยวิธีลดความเครียดจะเลือก ใช้วิธีไหนก็แล้วแต่จริตความชอบของเรา วิธีฝึกสมาธิ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกควบคุมลมหายใจ อ่านหนังสือ ทำงานศิลปะ ดนตรี ฯลฯ แต่ที่อยากแนะนำก็คือดนตรีครับ เพราะมันไม่ยาก ทำแล้วสนุก ยิ่งเป็นกิจกรรมดนตรีที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นแบบเป็นกลุ่มยิ่งได้ผลดี เพราะการมีเพื่อนมีสังคมเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยลดความ เครียดให้กับคนเราได้ดีทีเดียววิธีการเหล่านี้แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่าสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมทุกประเภทได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าพิจารณารายละเอียดของแต่ละประเด็น จะเห็นว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพของเราแน่นอน ทำแล้วรับรองไม่มีเสีย“โรคสมองเสื่อมเริ่มตั้งแต่อายุ 30 หรือ 40 ปี แต่กำลังสำรองของสมองยังมีเยอะจึงชดเชยความผิดปรกติได้ อายุย่าง 60 ปีหรือกว่านั้นกำลังสำรองสมองเริ่มเสื่อมอาการจึงชัดเจนขึ้น”ที่มา : โลกวันนี้วันสุข โดย นพ.อุดม เพชรสังหาร